Krungthai COMPASS ประเมินผลกระทบจากอุทกภัยปี 2564 สร้างความเสียหายมูลค่า 5.4 พันล้านบาท ครอบคลุม 1.6 ล้านไร่ คิดเป็น 2.3% ของพื้นที่ปลูกข้าวทั้งประเทศ เผยผลกระทบน้อยกว่าปี 2554 และภัยแล้งปี 2558 ลั่น ตลาดข้าวไทยปี 2565 เจอปัจจัยบาทแข็ง-ต้นทุนระวางเรือพุ่งกดดันการแข่งขันเทียบคู่แข่ง
วันที่ 9 พฤศจิกายน 2564 Krungthai COMPASS ประเมิน ผลผลิตข้าวที่เสียหายจริงจะอยู่ที่ราว 1.6 ล้านไร่ คิดเป็นเพียง 2.3% ของพื้นที่ปลูกข้าวทั้งประเทศ และคิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวมประมาณ 5.4 พันล้านบาท โดยผลผลิตข้าวที่ได้รับความเสียหายส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่จังหวัด นครราชสีมา นครสวรรค์ ชัยภูมิ ศรีสะเกษ และพิจิตร เนื่องจากมีน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน
สำหรับผลกระทบจากอุทกภัยในปี 2564 ส่งผลเสียหายน้อยเมื่อเทียบกับมหาอุทกภัยในปี 2554 และปัญหาภัยแล้งในปี 2558 โดยอุทกภัยปี 2554 มีพื้นที่เพาะปลูกข้าวที่ได้รับความเสียหายจริงอยู่ที่ 11.2 ล้านไร่ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวมถึง 4.36 หมื่นล้านบาท ขณะที่ภัยแล้งในปี 2558 มีพื้นที่เพาะปลูกข้าวที่ได้รับความเสียหายจริงอยู่ที่ 2.9 ล้านไร่ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวมประมาณ 1.05 หมื่นล้านบาท
โดยผลจากอุทกภัยครั้งนี้ ทำให้ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นในระดับที่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก จึงคาดว่าในปี 2565 ผลผลิตข้าวเปลือกจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 32 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้น 6.3% แต่การส่งออกยังเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงด้านราคา เนื่องจากปริมาณผลผลิตข้าวของประเทศคู่แข่งอย่าง เวียดนาม และอินเดีย จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งจะกดดันให้ราคาข้าวในประเทศมีแนวโน้มลดลง
และท่ามกลางปัญหาและความท้าทายต่าง ๆ ที่เกษตรกรรวมถึงผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทานธุรกิจข้าวต้องเผชิญอยู่ โดยเฉพาะปัญหาในด้านการผลิตและการส่งออก ไม่ว่าจะเป็นปัญหากำลังการผลิตส่วนเกินจำนวนมากของโรงสี (เกือบ 2 เท่าของปริมาณข้าวเปลือกที่เป็นวัตถุดิบในแต่ละปี) อีกทั้งการบริโภคในประเทศก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น หนำซ้ำยังมีแนวโน้มลดลงตามกระแสรักสุขภาพอีกด้วย
ขณะที่การส่งออกข้าวก็ยากขึ้น เนื่องจากราคาส่งออกข้าวไทยเฉลี่ยยังสูงกว่าคู่แข่งและมีแนวโน้มที่จะถูกตีตลาดจากข้าวพื้นนุ่มของเวียดนามที่เป็นที่นิยมมากขึ้นในตลาดโลก จึงมีความกังวลและเกิดคำถามว่าปัญหาอุทกภัยในปีนี้ที่ขยายวงไปในหลายพื้นที่ของประเทศ ทั้งในภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลาง จะมาซ้ำเติมธุรกิจข้าวอีกหรือไม่ ผลกระทบจะมีมากน้อยเพียงใด รวมถึงพื้นที่ไหนและจังหวัดใดที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด
เครื่องมือที่ช่วยประเมินผลกระทบจากปัญหาภัยธรรมชาติก้าวหน้าแค่ไหน?
ปัจจุบันมีการใช้เทคโนโลยีดาวเทียมมาช่วยในการวิเคราะห์ผลกระทบจากภัยธรรมชาติ จากเดิมที่ใช้วิธีการลงพื้นที่สำรวจ ซึ่งในบางครั้งข้อมูลอาจล่าช้าและไม่ทันเหตุการณ์ โดยข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมจัดเป็นข้อมูล High-Frequency Indicator ซึ่งความถี่ในการอัพเดตข้อมูลเป็นรายวัน ทำให้ช่วยติดตามสถานการณ์ภัยธรรมชาติล่าสุดได้
ยกตัวอย่างเช่น แผนที่ดาวเทียมของ GISTDA ณ วันที่ 3 พฤศจิกายน 2021 แสดงให้เห็นว่ายังคงมีจังหวัดที่มีน้ำท่วมขัง ได้แก่ จังหวัดในภาคกลาง คือ สุโขทัย พิษณุโลก ขอนแก่น ชัยภูมิ นครราชสีมา อุบลราชธานี นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา และปทุมธานี
จากข้อมูลทางดาวเทียมของ GISTDA พบว่าพื้นที่ปลูกข้าวได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในครั้งนี้มีประมาณ 3.9 ล้านไร่ โดย Krungthai COMPASS ประเมินว่าผลผลิตข้าวเปลือกจะได้รับเสียหายจริงประมาณ 1.6 ล้านไร่ หรือคิดเป็นเพียง 2.3% ของพื้นที่ปลูกข้าวทั้งประเทศ และคิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 5,400 ล้านบาท
โดยผลผลิตข้าวที่ได้รับความเสียหายส่วนใหญ่เป็นข้าวที่อยู่ในระยะ (Stage) ของการเจริญเติบโต หรือข้าวที่ออกรวงและพร้อมเก็บเกี่ยว ส่วนข้าวที่เพิ่งหว่านคาดว่าจะสามารถทนน้ำได้ และหากเป็นพื้นที่ที่น้ำไม่ท่วมขังนาน ข้าวจะไม่เสียหายมากนัก โดยปกติข้าวจะทนน้ำได้อย่างน้อย 15 วัน ทั้งนี้ จากการประเมินเบื้องต้น จังหวัดที่คาดว่ามีผลผลิตข้าวได้รับความเสียหายมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา นครสวรรค์ ชัยภูมิ ศรีสะเกษ และขอนแก่น ตามลำดับ
ความเสียหายน้อยกว่าปี’54 และภัยแล้งปี’58
หากเทียบกับความเสียหายจากมหาอุทกภัยในปี 2554 และปัญหาภัยแล้งในปี 2558 เรียกได้ว่าอุทกภัยปีนี้มีสัดส่วนความเสียหายน้อยมาก โดยจากข้อมูลของคลังข้อมูลน้ำแห่งชาติและสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ชี้ว่าอุทกภัยปี 2554 มีพื้นที่เพาะปลูกข้าวที่ได้รับความเสียหายอยู่ที่ 11.2 ล้านไร่ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวมถึง 43,601 ล้านบาท มากกว่าความเสียหายในปีนี้ถึง 8 เท่า
ขณะที่ภัยแล้งในปี 2558 มีพื้นที่เพาะปลูกข้าวที่ได้รับความเสียหายอยู่ที่ 2.9 ล้านไร่ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวมประมาณ 10,508 ล้านบาท มากกว่าครั้งนี้ประมาณ 2 เท่า และนอกจากปัญหาอุทกภัยในรอบนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อผลผลิตข้าวมากนักแล้ว คาดว่าจะทำให้ปริมาณน้ำสะสมใช้การได้ในเขื่อนอยู่ในระดับสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีให้ช่วงฤดูแล้งของปี 2556 จะมีแหล่งน้ำเพียงพอสำหรับการเพาะปลูก
ค่าเงินบาท-ต้นทุนระวางเรือกดดันตลาดข้าวไทย
Krungthai COMPASS มองว่า ในปี 2556 ผลผลิตข้าวเปลือกจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณ 32 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้น 6.3%YoY จากสภาพภูมิอากาศและปริมาณน้ำที่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูกมากยิ่งขึ้น ขณะที่การส่งออกคาดว่าจะดีขึ้นแต่ไม่มากนัก โดยอยู่ที่ประมาณ 6.5 ล้านตัน และยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำหากเทียบกับในช่วงปี 2550-2551 ที่เคยส่งออกได้เฉลี่ยปีละ 9-10 ล้านตัน
ทั้งนี้ เนื่องจากค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มกลับมาแข็งค่า จะทำให้ราคาข้าวไทยแข่งขันกับราคาข้าวที่ต่ำกว่าของประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามและอินเดียได้ยากขึ้น อีกทั้งคาดว่าผลผลิตข้าวของประเทศคู่แข่งสำคัญของไทย เช่น เวียดนามและอินเดีย จะมีปริมาณเพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก ยิ่งทำให้การแข่งขันในตลาดข้าวโลกรุนแรง จึงคาดว่าราคาขายส่งข้าวสารของไทยจะมีแนวโน้มลดลง
โดยประเมินว่าในครึ่งแรกของปี 2565 ราคาขายส่งข้าวขาว 5% เฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 11,270 บาท/ตัน หรือลดลง 21.1%YoY ส่วนราคาขายส่งข้าวหอมมะลิ 100% เฉลี่ยจะอยู่ที่ 18,668 บาท/ตัน หรือลดลง 20.7%YoY นอกจากนี้ ปัญหาต้นทุนค่าระวางเรือที่อยู่ในระดับสูง ยังเป็นปัจจัยถ่วงอัตรากำไรของธุรกิจ
แม้อุทกภัยรอบนี้จะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผลผลิตข้าวอย่างมีนัยสำคัญ แต่ธุรกิจโรงสียังมีความเสี่ยงด้านวัตถุดิบที่มีน้อยกว่ากำลังการผลิตโดยรวม ประกอบกับต้องแข่งขันด้านราคาในการรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อรักษากำลังการผลิต ทำให้มีต้นทุนในการผลิตสูง ขณะที่ราคาขายส่งข้าวสารถูกกดดันจากตลาดส่งออก ส่งผลให้ Margin ของธุรกิจโรงสีข้าวอยู่ในระดับต่ำ อีกทั้งหากมีสต็อกเดิมเหลืออยู่และระบายออกไม่ทันจะยิ่งมีความเสี่ยงขาดทุนสต็อกมากขึ้น
โดยปัญหาภัยธรรมชาติเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมได้ยากและส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตข้าวเปลือก ดังนั้น ผู้ประกอบการในกลุ่มธุรกิจข้าวควรให้ความสำคัญในการติดตามสถานการณ์ภัยธรรมชาติอย่างใกล้ชิด ซึ่งปัจจุบันมีข้อมูลเผยแพร่ทั้งจากหน่วยงานในประเทศและต่างประเทศ โดยทาง Krungthai COMPASS ได้รวบรวมไว้เบื้องต้น ดังนี้
ความน่าจะเป็นที่จะเกิดปรากฏการณ์ El nino (ภาวะฝนแล้ง) หรือ La nina (ภาวะฝนมาก) ซึ่งจากข้อมูลล่าสุดพบว่าโอกาสเกิด La nina ในช่วงต้นปีหน้าน้อยลง โดยผลพยากรณ์ต้นเดือนตุลาคม 2564 แสดงให้เห็นว่าความน่าจะเป็นที่จะเกิดปรากฏการณ์ La Nina ในเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคมอยู่ที่ 65-85% แต่ผลพยากรณ์เมื่อกลางเดือนตุลาคม 2564 กลับพบว่า ความน่าจะเป็นที่สภาพอากาศจะอยู่ในปรากฏการณ์ La Nina ในช่วงเดียวกัน ลดลงไปอยู่ที่ 45-72% สอดคล้องกับความน่าจะเป็นที่สภาพอากาศจะอยู่ในภาวะปกติ ซึ่งผลพยากรณ์ต้นเดือนตุลาคม 2564 อยู่ที่เพียง 12-35% แต่ผลพยากรณ์เมื่อกลางเดือนตุลาคม 2564 เพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 28-55%
โดยการเคลื่อนไหวของลมในเดือนพฤศจิกายน 2564 จะเห็นได้ว่ามีกระแสลมเคลื่อนตัวผ่านบริเวณภาคอีสานและภาคใต้ของไทย ทำให้ยังคงมีฝนตกในพื้นที่ดังกล่าว อีกทั้งหากมีการเคลื่อนตัวของพายุผ่านประเทศไทย ภาพจะแสดงเป็นกระแสลมแบบหมุนวน แสดงการคาดการณ์ปริมาณน้ำฝนในแต่ละพื้นที่ โดยหากพื้นที่ใดมีแถบสีขาว (อยู่ในกลุ่ม Normal) แสดงว่าพื้นที่ดังกล่าวมีปริมาณฝนตกปกติ
เช่น ในเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม 2565 คาดว่าในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคอีสานและภาคกลางของไทยฝนจะตกปกติ ขณะที่พื้นที่ภาคใต้จะมีฝนตกมากกว่าปกติ