ต้องยอมรับความจริงประการหนึ่งว่า สังคมไทยสมัยนี้ แนวคิดทางการเมือง ความนิยมทางการเมือง ถูกแบ่งเป็นขั้วข้างต่างกัน และมักปะทะกันทางความคิดและ “บุคคลสัญลักษณ์” อยู่เสมอ
บัดนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ “ลุงตู่” คือ บุคคลสัญลักษณ์ของขั้วข้างหนึ่ง ที่ถูกนิยามให้เป็น “ขั้วอนุรักษ์นิยม”ซึ่งเป็นแนวต้านอีกขั้วหนึ่ง ที่ชิงสถาปนาหรือนิยามตัวเองเป็น “ขั้วประชาธิปไตย” ทั้งๆ ที่โดยพฤตินัยหลายอย่าง และระบบความคิดหลายประการ ก็หาได้เป็นประชาธิปไตยไม่
กระนั้นก็ตาม การเมืองที่หมุนรอบบุคคลสัญลักษณ์อย่าง “ลุงตู่” นั้น น่าสนใจมาก
น่าสนใจที่หนึ่ง คือ “ลุงตู่” ยังเลือกจะอยู่ในเวทีการเมืองต่อไป แม้มีสิทธิตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้อีกเพียง 2 ปีเท่านั้น คำถามคือ ท่านอยู่ทำไมเพียงครึ่งเทอม หากท่านได้เป็นนายกฯ อีกครั้งจริงๆ เรื่องที่ท่านประสงค์อย่างแน่วแน่ที่จะขับเคลื่อนคืออะไร จากนั้นจะส่งไม้ต่อให้ใครขึ้นมาเป็นนายกฯ และนายกฯ รับไม้ จะได้เป็นนายกฯ อย่างราบรื่น สำเร็จจริงหรือไม่ เสร็จจากนั้น ท่านจะออกจากสนามการเมืองไปเลย หรือดำรงตำแหน่งอื่นที่รัฐธรรมนูญมิได้ห้ามไว้ เช่น ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี, รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นต้น
น่าสนใจที่สอง คือ รูปรอยการเดินสู่เก้าอี้นายกฯ รอบถัดไป ท่านเลือกลงจากนั่งร้านที่ชื่อ “พรรคพลังประชารัฐ” มาร่วมสถาปนานั่งร้านใหม่ที่ชื่อ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ด้วยสูตรเดียวกัน ต่างไปแค่อำนาจเบาลง จากยุคที่ยังเป็นหัวหน้า คสช. จึงอาจไม่มีกลไกมหาดไทยทั่วประเทศ กับกลไกกองทัพทั่วประเทศ รองรับและสนับสนุนปฏิบัติการบางอย่างในช่วงการเลือกตั้ง เช่นเดียวกับกติกาที่เปลี่ยนไป นั่นคือ มีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ใบแรกเลือก สส.เขต (400 คนจากทั่วประเทศ) ใบที่สองเลือกพรรค ที่เรียกว่า “สส.ระบบบัญชีรายชื่อ” จำนวน 100 คน โดยเอาคะแนนรวมจากทุกหีบเลือกตั้งทั่วประเทศมารวมกันแล้วหารด้วย 100
น่าสนใจที่สาม คือ ยุคก่อน ท่านตั้งพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ เป็นรองเลขาธิการนายกฯ กับสกลธี ภัททิยกุล เป็นรองผู้ว่าฯ กทม. จนเป็นที่จับตา และคาดเดาก้าวต่อไปทางการเมืองของท่านและคนที่เกี่ยวข้องได้โดยไม่ต้องลับ ลวง พราง ใดๆ เช่นเดียวกับครั้งนี้ ท่านตั้ง ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี เป็นที่ปรึกษานายกฯ สลับเก้าอี้ จนนำเอา นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาคที่ปรึกษานายกฯ มาอยู่บนเก้าอี้เลขาธิการนายกฯ ได้ และตั้งธนกรวังบุญคงชนะ เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยที่ทั้งสามชื่อนี้ คือ คีย์แมนหลักที่จะไปรวมกันที่ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” เพื่อสู้ศึกการเลือกตั้งครั้งหน้า ท่ามกลางกัดแซะของพรรคฝ่ายค้าน ว่า มองออกนะ ว่าเป็นโบนัสทางการเมือง เป็นการเติม “ความได้เปรียบ” ในการแข่งขัน ให้แก่คนเหล่านี้
น่าสนใจที่สี่ คือ วันที่ 26 ธันวาคม 2565 “แนวหน้าออนไลน์” รายงานข่าวการลงพื้นที่จังหวัดนครปฐมของ พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยการโปรยข่าวนำว่า “บิ๊กตู่”ลงนครปฐมครั้งแรก หลังประกาศรับแคนดิเดตรทสช. เปิดงานมหาธีรราชเจ้ารำลึกเจ้าถิ่น “เสธ.แก้ว” สส.ปชป.ร่วมต้อนรับ ท่ามกลางกระแสข่าวย้ายพรรค ขณะที่ “แกนนำรทสช.” ร่วมด้วยพรึบพบป้ายหาเสียง “พีระพันธุ์” รอบองค์พระปฐมเจดีย์
ในเนื้อข่าวตอนหนึ่งบอกว่า… “การลงพื้นที่ดังกล่าวถือเป็นการประเดิมลงพื้นที่พบปะประชาชนนอกเวลาราชการที่จ.นครปฐม เป็นครั้งแรกของพล.อ.ประยุทธ์ ภายหลังจากประกาศตัวเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โดยพื้นที่จ.นครปฐม เป็นพื้นที่ของพ.ท.สินธพ แก้วพิจิตร หรือ เสธ.แก้ว สส.นครปฐม เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีกระแสข่าวจะย้ายมาสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)มาระยะหนึ่งแล้ว ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า รอบองค์พระปฐมเจดีย์มีการติดป้ายโฆษณาหาเสียง ของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) รวมไปถึงรูปของนายพีระพันธุ์โดยป้ายข้อความระบุว่า “สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่องสร้างความเท่าเทียม”
น่าสนใจที่ห้า คือ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติให้สัมภาษณ์ถึงการลงพื้นที่ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ถึงกระแสของนายกฯดูอบอุ่นหรือไม่ รวมถึงมีการพูดคุยกับสส.ในพื้นที่อย่างไรว่า ยังไม่ได้คุยกัน แต่การลงพื้นที่ของนายกฯวันนี้มาปฏิบัติหน้าที่ตามปกติที่ได้รับเชิญ
เมื่อตรวจสอบจากข่าว พบว่า “…นายกฯเป็นประธานพิธีเปิดงานมหาธีรราชเจ้ารำลึก มหกรรมวัฒนธรรมจังหวัดนครปฐม ครั้งที่ 19 ประจำปี 2566 พร้อมด้วยพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายอิทธิพล คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม นายธนกร วังบุญคงชนะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โดยมีพ.ท.สินธพ แก้วพิจิตร หรือ เสธ.แก้วสส.นครปฐม เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์ เจ้าของพื้นที่ให้การต้อนรับ นอกจากนี้ยังพบว่า นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครทสช. นายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ กรรมการบริหารพรรครทสช.และนายหิมาลัย ผิวพรรณ เข้าร่วมภายในงานด้วย”
น่าสนใจที่หก นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า นายกฯ ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนประชาชนมาตลอด แต่ที่มาวันนี้เป็นเรื่องพิธีการที่ทางจังหวัดได้เชิญ เป็นเรื่องของงานพิธี ไม่ใช่การพบประชาชน ส่วนการเดินพบประชาชนเป็นการดูเรื่องการค้าขาย
ถามต่อว่า การลงพื้นที่ในวันนี้มีนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติมาด้วย ได้จีบสส. ในพื้นที่สำเร็จหรือไม่ นายพีระพันธ์ุกล่าวว่า ยังไม่ได้คุยเลย และจะคุยได้หรือเปล่าก็ไม่รู้
เมื่อถามว่า มีกระแสข่าวว่าวันที่ 29 ธันวาคมนี้พล.อ.ประยุทธ์จะสมัครสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาตินายพีระพันธ์ กล่าวว่า ยังไม่ได้กำหนดวันที่ 29 เลย เอาข่าวมาจากไหนยังไม่มี เพราะภารกิจท่านนายกฯยังแน่นอยู่
ถามต่ออีกว่า หลังจากนายกฯประกาศว่าจะอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ การรับสมาชิกใหม่อาจจะต้องตั้งเงื่อนไขอะไรหรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่ายังไม่มี ก็เป็นธรรมดาและนายกฯ ก็ยังไม่มีเงื่อนไขอะไรเป็นพิเศษ แล้วพรรคก็ดำเนินการตามปกติ
ถามว่า มองว่าเป็นผลดีหรือไม่หลังนายกฯประกาศเปิดตัวทำให้พรรครวมไทยสร้างชาติมีกระแสดีขึ้น นายพีระพันธ์ุ กล่าวว่า ตนเคยบอกแล้วคนดีๆ อยู่ด้วยกันมันก็ต้องดี ตนว่าประชาชนต้องการคนดี มาทำงานการเมือง ซึ่งตลอดเวลาที่ตนทำงานกับนายกฯมาก็เห็นว่าท่านตั้งใจทำงานจริงเพื่อบ้านเมือง
เมื่อถามว่า มั่นใจว่าจะได้เก้าอี้สส.กี่เก้าอี้ นายพีระพันธ์ุ กล่าวว่า มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อยู่ที่ประชาชนเราก็เสนอสิ่งดีๆ ให้
น่าสนใจที่เจ็ด คือ หลายฝ่ายปรามาสพรรครวมไทยสร้างชาติว่า หา สส.เข้าสภาให้ได้ 25 คนก่อนนะแล้วค่อยพูดเรื่องการผลักดัน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยผ่านเพจเดอะรูม 44 กรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ตอบรับเข้าร่วมงานทางการเมืองกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ว่า เชื่อว่าจะมีนักการเมือง และผู้ที่สนใจร่วมทำงานเพื่อประเทศชาติล้านเมืองไหลมาร่วมกับพรรคเป็นจำนวนมาก ซึ่งมั่นใจว่า จะไม่เป็นปัญหาในการจัดสรรหน้าที่ความรับผิดชอบ
“มากันมากแค่ไหน ก็รับได้แน่นอน และที่ผ่านมา มีการพูดคุยกับ สส.บิ๊กเนม แต่ละพื้นที่ตอบรับกันจำนวนหนึ่งอยู่แล้ว เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ชัดเจน ก็จะมีคนไหลเข้ามาอีกซึ่งเรามีวิธีบริหารจัดการอยู่แล้ว” นายเอกนัฏ กล่าว
ส่วนกระแสข่าวก่อนหน้านี้ ที่ระบุว่า จะมี สส.ปัจจุบันเข้ามาร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ประมาณ 40 คนนั้น นายเอกนัฏ กล่าวว่า คิดว่าไม่ได้คลาดเคลื่อนจากความจริงเท่าไร แต่อาจจะมากขึ้นก็ได้ อีกทั้งยังมีบิ๊กเนมที่ไม่ได้เป็น สส. เช่นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) หรือนักการเมืองท้องถิ่นที่มีแสงในตัวของจังหวัดต่างๆ ซึ่งบางพื้นที่ต้องยอมรับว่า มีโอกาสดีกว่า สส.ปัจจุบันเสียอีก หากนับส่วนของคนที่มีศักยภาพก็คงมากกว่า 100 คน ทำให้มั่นใจได้ว่า เราจะมีผู้สมัครที่สู้ได้ในทุกภาค
เมื่อถามว่า ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันได้ประเมินหรือไม่ว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ จะได้ สส.ประมาณเท่าไร นายเอกนัฏกล่าวว่า มีคนเคยถามว่าจะได้ สส.เกิน 25 เสียง พอสำหรับการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯในที่ประชุมรัฐสภาหรือไม่ ตนยืนยันว่า เกินแน่นอน เพราะจากผลสำรวจแค่ภาคเดียวก็เกินแล้วอย่างไรก็ดี จำนวนที่นั่ง สส.ก็เป็นเรื่องหนึ่ง สิ่งสำคัญกว่าการเป็นพรรคการเมือง คือ ต้องทำประโยชน์ให้ประเทศ เป็นสถาบันการเมือง ไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ
“ใจผมหากได้แตะ 100 ที่นั่ง ก็เป็นเรื่องดี จะเป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุด จะได้มีกำลังผลักดันสิ่งที่เราบอกประชาชนไว้” เลขาฯ รวมไทยสร้างชาติ ระบุ
เมื่อถามว่า มั่นใจหรือไม่ ว่า หลังการเลือกตั้งจะได้เป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล นายเอกนัฏกล่าวว่า การจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลต้องดูผลการเลือกตั้งก่อน แต่ถ้าวิเคราะห์จากสิ่งที่เกิดขึ้นหลัง พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศตัวชัดเจน และดูว่าที่ผู้สมัครทั่วประเทศ ถ้าทุกอย่างเป็นตามที่คาดการณ์ เราจะได้ สส.ไม่น้อย มีโอกาสร่วมกับพรรคการเมืองอื่นจัดตั้งรัฐบาลได้
เมื่อถามอีกว่า ภายหลังเลือกตั้ง พรรครวมไทยสร้างชาติกับ พลังประชารัฐ จะจับมือร่วมกันทำงานได้หรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวว่า ตนยังไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไร เวลานี้แต่ละพรรคต้องเร่งแสดงจุดยืนของตัวเองแล้วไปแข่งขันในสนามเลือกตั้ง ได้สส.เท่าไรก็เป็นเรื่องอนาคตจ และก็มีขั้นตอนที่ต้องเจรจาในการจัดตั้งรัฐบาล ว่า จุดยืน หรือนโยบายตรงกันหรือไม่ เรื่องนี้ต้องว่าหลังเลือกตั้ง
เมื่อถามอีกว่า หากมีความจำเป็นสามารถทำงานร่วมกับฝ่ายค้านในปัจจุบันได้หรือไม่ นายเอกนัฏกล่าวว่า คนอาจมองว่า เราเป็นพรรคพันธมิตรประชาชน หรือเป็นพรรค กปปส. แต่ปัจจุบันในพรรคเราก็มีคนเสื้อแดงมาร่วมงานจำนวนมาก เราไม่ยึดติดความขัดแย้งในอดีต เราคิดว่า ทุกคนที่มีแนวคิดตรงกันอยากเข้ามาทำการเมืองเพื่อส่วนรวม อยากทำการเมืองอย่างสุจริต สร้างพรรคการเมืองเป็นที่พึ่งของประชาชน ยึดมั่นในสถาบันหลักของชาติ ถ้าคิดแบบนี้ไปกันได้ แต่ถึงเวลานั้นก็ต้องมาทบทวนอีกทีว่าพรรคไหนคิดเหมือนเราหรือไม่
เมื่อถามย้ำว่า ไม่ปิดทางร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย หรือพรรคอื่นๆ ใช่หรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวว่า “จะไปปิดทางกันเร็วแบบนี้ไม่ได้ ผมไม่อยากพูดไป เดี๋ยวหาว่า เราปฏิเสธคนนั้นคนนี้วนเวียนอยู่กับความขัดแย้งอีก วันนี้เราต้องเดินไปข้างหน้า”
สรุป : กระจ่างชัดแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ กำลังใช้ตนเองนำไปสู่การรับรู้การมีอยู่ของ “พีระพันธุ์” ดึงคน ดึงสู่
ไปโฟกัสที่พรรครวมไทยสร้างชาติให้มากขึ้น และสร้างแรงดึงดูด สส.มากองรวมกันที่พรรคนี้เพื่อสร้าง “ความเป็นไปได้” ในการเป็นนายกฯ รอบต่อไป การประกาศของเลขาฯ พรรคเรื่อง “ไม่ปิดกั้นการจับมือตั้งรัฐบาล” กับฝ่ายใดทั้งนั้น คือการวางตัวเองแบบยืดหยุ่นไว้ก่อน
ที่หลายคนเคยตีความว่า “ลุงตู่” บวก “รวมไทยสร้างชาติ” คือปราการปิดป้อง “ระบอบทักษิณ” เข้าสู่อำนาจอาจต้องตีความใหม่ และอาจต้องห่วงกังวลใจด้วยว่า “รวมไทยสร้างชาติ” จะไม่ใช่พรรคที่เสมือน “กรดกัดกร่อนขั้วเดียวกัน” อย่างพลังประชารัฐและประชาธิปัตย์ เพียงเพื่อวันข้างหน้าของลุงตู่และตัวเองเท่านั้น!!