ภูมิภาค
ผู้การฯเชียงใหม่ ตั้งชุดทำงานสางปมมรดกพันล้านปางช้างแม่สา
วันเสาร์ ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565, 19.52 น.
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่
ศึกมรดกพันล้านของพ่อเลี้ยงชูชาติ กัลมาพิจิตร ผู้ก่อตั้งปางช้างแม่สา อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ที่เสียชีวิตไปร่วม 4 ปีทิ้งทรัพย์สมบัติมหาศาลไว้ให้ทายาท แต่ปรากฎว่าทายาทที่มีผู้จัดการร่วมมีนางอัญชลี กัลมาพิจิตร บุตรสาวคนโต กับนางฐิติรัตน์ กัลมาพิจิตร ภรรยาคนสุดท้าย ยังไม่สามารถเจรจาตกลงกันได้เนื่องจากยังมีปมเงินเลี้ยงช้างในธนาคารถูกเบิกถอนออกไปยังไม่ถูกต้องกว่า100 ล้านบาท มีการแจ้งตำรวจให้สอบสวนติดตามเส้นทางการเงินที่หายไปซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อการเลี้ยงช้าง68 เชือกได้รับความเดือดร้อนอย่างสาหัสตามข่าวที่ได้เสนอไปแล้วนั้น
หลังจากที่หลักฐานต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการเบิกถอนเงินในธนาคารแห่งนี้ใน อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ที่เป็นเงินในส่วนของบริษัทปางช้างแม่สา อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ที่เป็นเงินที่ใช้ในการเลี้ยงช้างและอยู่ในกองมรดกของพ่อเลี้ยงชูชาติ กัลมาพิจิตร ทางนางอัญชลี กัลมาพิจิตร พร้อมทั้งนายวงพงษ์ คำนนท์ ทนายความ ได้นำไปมอบใหักับทางพนักงานสอบสวน สภ.แม่ริม แล้วเป็นหลักฐานสำคัญให้ทางตำรวจดำเนินการสอบสวนสืบสวนหาผู้ที่เกี่ยวข้องในการเบิกถอนเงินโดยทางนางอัญชลี ในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่ปางช้างแม่สา ที่ต้องดูแลรับผิดชอบการเลี้ยงช้างจำนวน 68 เชือกที่กำลังได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักในการบริหารจัดการที่ขาดสภาพคล่องทางการเงินมาร่วม 4 ปีแล้ว
ในด้านการดำเนินการสอบสวนสืบสวนของตำรวจ ผู้สื่อข่าวได้ถาม พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ที่มาควบคุมคดีนี้ด้วยตัวเอง ได้เผยว่าเมื่อทางตำรวจได้หลักฐานจากบัญชีที่มีการถอนเงินจากธนาคารแห่งหนึ่งมาแล้ว ก็ต้องนำมามาตรวจสอบว่าคนเบิกเงินมีใครบ้าง และเมื่อทราบแล้วก็จะต้องตรวจสอบว่าทำไมถึงเบิกได้ ต้องเอาชื่อคนเบิกมาและเชิญเจ้าหน้าที่ธนาคารมาสอบว่าคนเบิกแต่ละใบเป็นใครและมีการเปลี่ยนแปลงว่าให้คนนี้ไปเบิกได้ตอนไหน ก็ต้องมีการตรวจสอบย้อนกลับไปที่โรงพยาบาลในช่วงที่นายชูชาติ กัลมาพิจิตร เจ้าของเงินนอนรักษาตัว ว่าตนที่เข้าไปพบนายชูชาติ มีสติ มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงลายเซ็นไหม ถ้าไม่มีมันก็ร่วมกันทั้งหมดทั้งคนที่พาเข้าไป ทางตำรวจก็ต้องสอบที่ตรงนี้ก่อนไม่เช่นนั้นก็จะเป็นการขาดตอน แต่ว่าเงินบริษัทปางช้างแม่สา ก็ต้องแยกเป็นสองส่วนอีก แม้จะมีดำนาจแต่ว่าใช้เงินบริษัทไปใช้ส่วนตัวมันจะมีความผิดอีกข้อหา มันจะเป็นการยักยอกทรัพย์มรดก
แต่ถ้าเกิดว่านายชูชาติไม่มีสติในตอนนั้นก็เป็นการวางแผนร่วมกันลักทรัพย์ตั้งแต่ทีแรก มันเป็นรายละเอียดของกฎหมายที่จะต้องทำกันอย่างละเอียด ไม่เช่นนั้นหากไปขึ้นศาลก็จะเกิดความสับสน ส่วนที่หลักฐานอาจจะระบุว่าเบิกเงินคนเดียว ก็ต้องดูว่าเบิกแล้วเอาเงินไปไหน และในตอนที่เบิกทำไมมีอำนาจเบิก ทำไมธนาคารให้เบิก ธนาคารที่ไปให้นายชูชาติ แก้ไขว่าเบิกคนเดียว ตอนนี้นายชูชาติมีสติพอที่จะทำอย่างนั้นไหม แต่ว่าหากไม่มี แสดงว่ามีการร่วมกันตั้งแต่ทีแรก และใครที่ร่วมกันทั้งหมด ตั้งแต่ทนายที่พาเข้าไป หรือคนทั้งหมดเลยหมายความว่ามีการวางแผนร่วมกันตั้งแต่ก่อนนายชูชาติจะเสียชีวิต ก็ขอให้ทางตำรวจดูในรายละเอียด ต้องคิดดูว่าหากคนนอนอยู่ หมอเขาบอกว่าเขาไม่สติแล้วนอนใส่เครืองช่วยหายใจพูดจาไม่ได้เช่นนี้แล้วยังมีการเปลี่ยนแปลงเอกสารตอนนั้น อย่างนี้ก็ต้องมีการตรวจสอบกัน
แต่ในเรื่องที่เอกสารระบุว่านายชูชาติ เบิกเอง 3 ครั้งจาก 100 กว่าครั้งนายชูชาติ เบิกไม่เป็นไร นายชูชาติเบิกก็จบไปนายชูชาติ อาจจะเซ็นเบิกตอนที่ไม่มีสติสัมปชัญญะด้วยซ้ำไปต้องดูตอนนั้นเลย เรื่องนี้จะต้องลงรายละเอียดมาก ทางตำรวจไม่มีอย่างรีบๆแน่วันหลังจะได้ไม่มีปัญหาอีก เขาจะนำไปสู้ว่านายชูชาติเซ็นจริงต้องสอบให้แน่ชัดว่านายชูชาติเซ็นจริง ดังนั้นการสอบสวนสืบสวนต้องละเอียดตั้งแต่วันนั้นเลยวันแก้ไขสัญญาเลย เรื่องนี้ต้องใช้เวลานิดหนึ่ง เรื่องนี้ทางตำรวจจะทำอย่างเป็นธรรมที่สุด
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่