เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2566 ผู้แทนนายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดจากทั่วประเทศ พร้อมคณะ เดินทางมาขอเข้าพบ “ดร.หญิง” ดร.สุปราณี คุปตาสา ผู้จัดการกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ (NSDF) เพื่อให้การสนับสนุน และเป็นกำลังใจให้ในการทำหน้าที่ เพื่อส่งเสริมสนับสนุนการกีฬาของชาติไทยในทุกระดับ ที่สำนักงานกองทุนฯ ชั้น 3 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) หัวหมาก
สำหรับสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดที่เดินทางมาเข้าพบนำโดย เพชรบูรณ์, จันทบุรี, สุโขทัย, ฉะเชิงเทรา, พิษณุโลก, พัทลุง, นราธิวาส, ราชบุรี, นครปฐม, ลพบุรี, นครสวรรค์ และพิจิตร ได้เข้าพบปะพูดคุยกับ ผู้จัดการกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ พร้อมมอบกระเช้าดอกไม้ เพื่อเป็นกำลังใจ
นายวิจิตร พรพฤฒิพันธุ์ นายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นตัวแทนกล่าวว่า สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นทุกคนคงจะทราบกันดีแล้วว่า ดร.สุปราณี โดนร้องเรียนต่างๆ มากมาย แต่จริงๆ แล้วสำหรับสมาคมกีฬาจังหวัดไม่มีปัญหาเลย ซึ่งที่ผ่านมา ดร.สุปราณี ได้ทำงาน มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ทั้งเรื่องกฎหมายต่างๆ ที่ส่งเสริมนักกีฬาระดับรากหญ้า จนถึงระดับชาติ จึงขอเป็นกำลังใจให้ ดร.หญิง ได้ทำงานอย่างต่อเนื่อง และเป็นเสาหลักให้กับวงการกีฬาไทย และสมาคมกีฬาทั่วประเทศ
ขณะที่ “ดร.หญิง” ดร.สุปราณี คุปตาสา เปิดเผยว่า ขอพูดจากใจจริงว่า ช่วงที่มีการปรับปรุงต่างๆ ตนไม่ทำอะไรที่นอกเหนือข้อกฎหมาย แต่ในฐานะคนนอกที่เข้ามาทำงาน ก็ต้องเดินตามระเบียบประกาศ ปัจจุบัน กองทุนฯ มีพนักงานเพียงแค่ 40 คน และต้องบริหารเงินถึง 4-5 พันล้านบาท พนักงานทุกคนต้องทำงานดึก กว่าจะได้กลับบ้าน บางคนถึงกับขับรถตกคูน้ำ ทุกคนทำงานหนักมาก เราทำงานกันได้อย่างไรในจำนวนงบที่เท่ากับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
“พนักงานกองทุนฯ ทำงานดูแลสมาคมกีฬาจังหวัด 77 แห่ง สมาคมกีฬาแห่งประเทศไทย 89 แห่ง ดูแลทั้งมวยไทย และอาชีพ การทำงานต้องเป็นไปตามกฏระเบียบ อยากจะประกาศให้ทุกคนรู้ถึงนโยบายของกองทุนฯ
ข้อแรก เงินควรจะตรงไปถึงสมาคมกีฬาต่างๆ ข้อที่สองการใช้งบหลวงจะต้องมีเอกสารหลักฐานเบิกจ่ายถูกต้อง กองทุนฯ มีหน้าที่อนุมัติงบ แต่ไม่ได้มีหน้าที่จัดการเรื่องเบิกจ่าย ซึ่งการเบิกจ่ายเป็นหน้าที่ของคลังกองทุน กกท.
“วันนี้หญิงขอบอกว่าหญิงโดนใส่ร้าย โดนรังแกเยอะเกินไป ทั้งที่เราอยู่ในสปอร์ตแมนชิพ ใครที่ไม่พอใจ หรือไม่ได้รับเงินรางวัลครบ ก็อยากให้มาคุยกันที่นี่ มาดูกันว่าเป็นเพราะอะไร” ดร.หญิงกล่าว
ดร.สุปราณี กล่าวอีกว่า กองทุนฯ ไม่มีอำนาจในการตัดเงินของใคร หรือสมาคมกีฬาใด เพราะเป็นหน้าที่ของบอร์ดกองทุนฯ เรามีหน้าที่ในการเสนอเข้าคณะอนุกรรมการกลั่นกรอง ส่วนเรื่องของเงินรางวัลก็ต้องผ่านคณะอนุกรรมการว่าด้วยเรื่องสวัสดิการ และเงินรางวัล ซึ่งส่วนตัวก็พยายามที่จะช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นให้กับสมาคมกีฬาต่างๆ แบบสุภาพบุรุษ แต่การที่จะไปเขียนบัตรสนเท่ห์ ที่ไม่ลงลายมือชื่อ หรือการทำลายไปขุดคุ้ยต่างๆ ต้องบอกว่าตนทำกิจกรรมหลายอย่าง ที่อาจจะไปกระทบต่อธุรกิจของบางคน แต่การทำกิจกรรมหลายอย่างนั้นต้องบอกด้วยความสัตย์จริงว่าเราต้องการทำวงการกีฬาไทยได้พัฒนาไปสู่ระดับสากล
ดร.สุปราณี กล่าวเพิ่มเติมว่า อยากขอชี้แจงประเด็นเรื่องร้องเรียนจากบัตรสนเท่ห์ดังกล่าว ซึ่งเรื่องสำคัญในการปันส่วนงบประมาณนั้น ต้องบอกว่า สมาคมกีฬาต่างๆ ของบรวมกันกว่าหมื่นล้านบาท แต่กองทุนฯ มีเงินเพียง 4-5 พันล้านบาทเท่านั้น สัดส่วนต่างๆ ก็เป็นหน้าที่ของบอร์ดกองทุนฯ ที่นำเสนอต่อไปยังกรมบัญชีกลาง และกระทรวงการคลัง ในการอนุมัติงบได้เท่าไร พร้อมตัวชี้วัดต่างๆ ไม่ใช่หน้าที่ตนในการตัดงบ อีกเรื่องคืองบที่ใช้กับสหพันธ์กีฬามวยไทยนานาชาติ หรืออิฟม่า ต้องบอกว่าที่ผ่านมามีใครสู้เพื่อมวยไทยบ้าง เราพร้อมชี้แจงว่า อิฟม่าขับเคลื่อนมวยไทยจนประสบความสำเร็จ จนเข้าสู่เวิลด์เกมส์ และอีกหลายมหกรรมกีฬาจนสำเร็จ
“มีคนบอกว่าหญิงบ้ามวยไทย แล้วเป็นยังไง วันนี้มวยไทยไปไกลถึงสหรัฐอเมริกา มีคณะกรรมการโอลิมปิกสหรัฐฯ รับรอง รวมทั้งมวยไทยเข้ายูโรเปี้ยนเกมส์ เรียบร้อยแล้ว ความฝันของมวยไทยไม่ใช่แค่เพียงการไปโอลิมปิก แต่เป็นการสร้างอาชีพให้กับคนไทย แล้วเป็นซอฟต์ เพาเวอร์ที่แท้จริง วันนี้บีบกันไปไม่มีประโยชน์ หญิงกล้าสาบานว่ารักองค์กรที่อยู่ ตราบใดที่หญิงอยู่ที่นี่ก็จะทำหน้าที่ตามระเบียบกฎหมาย โดยเฉพาะคำสั่งของบอร์ดกองทุนฯ หญิงเข้ามาทำงานในระบบราชการครั้งแรก นำความรู้ด้านการเงิน และกฎหมาย เข้ามาทำงานหนักมาก ถามว่าท้อไหม ถ้าตอบว่าไม่ท้อก็คงโกหก ยอมรับว่าท้อ แต่ต้องถามว่า ทำไมถึงเกิดเรื่องต่างๆ ในช่วงปีเศษที่กำลังจะหมดสัญญา หรือทำเพื่อให้ตนมีมลทินจะได้ไม่ได้รับการต่อสัญญาหรือไม่”
ดร.หญิง กล่าวต่อว่า อย่างก็ตามตนเองยังพร้อมทำหน้าที่เพื่อพัฒนาวงการกีฬาไทยต่อเนื่อง และอยากให้ทุกคนนึกถึงภาพรวมในการบริหารจัดการต่างๆ ให้กีฬาไทยพัฒนาไปได้ สำหรับสื่อมวลชนเองก็มีโทรศัพท์มาสอบถามข้อเท็จจริงจากตนเอง แต่การไปเขียนเพื่อทำลายมันไม่ใช่ ใครที่ทำลายตนเองแบบนั้นก็ต้องเข้าใจว่า ปัจจุบันมีกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือไอที ก็ให้สิทธิที่จะดำเนินการทางคดี เพราะสื่อมวลชนเป็นส่วนในการสร้างสรรค์วงการกีฬาไทย