เผยแพร่: ปรับปรุง: โดย: ผู้จัดการออนไลน์
“วีริศ” เปิดแผนงานปี 2566 เตรียมเสนอ สศช.เห็นชอบจัดตั้งนิคมฯ BCG ใหม่ 2 แห่งที่ระยอง และลำพูน ก่อนชง ครม.ภายใน ม.ค.-ก.พ. 66 รองรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์หลังนักลงทุนสนใจเพียบ พร้อมเล็งศึกษาปัดฝุ่นนิคมฯ พิจิตรสู่นิคมฯ ไผ่ หลังนักลงทุนจีนสนใจมาพัฒนาการปลูกไผ่เพื่อการแปรรูป มั่นใจลงทุนปี 66 ยังสดใสไทยยังเป็นหมุดหมายของต่างชาติ โชว์ผลงานปี 65 ขับเคลื่อนโครงการรัฐ
นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า การดำเนินงานของ กนอ.ในปี 2566 จะมุ่งเน้นการกำกับดูแลนิคมฯ ให้สอดรับกับยุทธศาสตร์ของประเทศที่ต้องการตอบโจทย์ลดก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) และโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio, Circular, Green Economy) โดยแผนงานสำคัญคือการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม BCG ที่ จ.ระยอง และ จ.ลำพูน พื้นที่รวม 2 แห่งประมาณ 2,135 ไร่ คาดว่าจะใช้เงินพัฒนาเบื้องต้นราว 3,000 ล้านบาท พร้อมกับอยู่ระหว่างการพิจารณาที่จะพัฒนานิคมฯพิจิตรเป็นนิคมอุตสาหกรรมไผ่ ซึ่งมีพื้นที่ราว 2,000 ไร่
สำหรับนิคมฯ BCG คณะกรรมการบริหาร กนอ.ได้เห็นชอบให้จัดซื้อที่ดินดังกล่าวแล้ว โดยแห่งแรกเป็นการจัดตั้งโครงการในพื้นที่เขตพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) จำนวน 1,482 ไร่ ณ ต.สำนักทอง อ.เมืองระยอง จ.ระยอง ส่วนอีกแห่งเป็นโครงการจัดตั้งใน จ.ลำพูน พื้นที่ 653 ไร่ ณ ต.มะเขือแจ้ ต.บ้านกลาง อ.เมืองลำพูน จ.ลำพูน โดยเตรียมเสนอต่อสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เห็นชอบภายใน ม.ค. 66 จากนั้นจะนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบได้ ม.ค.-ก.พ. 66
“นิคมฯ BCG เป็นการรองรับการลงทุนอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในพื้นที่ซึ่งพบว่านิคมฯ ลำพูนพื้นที่เต็มแล้ว เอกชนเองต้องการขยายลงทุนมีติดต่อมา 5 รายรายละ 100 ไร่และอยากซื้อที่มากกว่าเช่า กนอ.จึงมองโอกาสนี้ที่จะรองรับการลงทุนดังนั้นนิคมฯ BCG แห่งใหม่เราจึงมีแผนที่จะเน้นการขายพื้นที่เป็นหลักและยังสามารถกำกับดูแลที่สอดรับกับ BCG อีกด้วย ส่วนนิคมฯ ไผ่นั้นทางนักลงทุนจีนมีความสนใจโดยจะทำเป็นลักษณะเกษตรพันธสัญญา หรือคอนแทรกต์ฟาร์มมิ่งที่จะมีการส่งเสริมการปลูกในพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อนำไผ่ไปทำเฟอร์นิเจอร์ และอื่นๆ ที่ต่อเนื่องจำนวนมากโดยขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำรายละเอียด” นายวีริศกล่าว
นายวีริศกล่าวถึงแนวโน้มการลงทุนปี 66 ไทยยังคงเป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมายของการลงทุนและนักลงทุนมองการลงทุนในระยะยาวโดยเฉพาะในพื้นที่อีอีซี ซึ่งยอมรับว่าการลงทุนตรงจากต่างประเทศ (FDI) หากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะเวียดนามแล้วอาจเสียเปรียบหลายด้าน เช่น ค่าแรง จำนวนประชากร ฯลฯ แต่ กนอ.มองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงระยะสั้นหากการลงทุนไม่อาจตอบโจทย์การดูแลสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน นี่จึงเป็นเหตุผลที่ กนอ.มุ่งไปสู่การดูแลสิ่งแวดล้อมและ BCG ตามนโยบายรัฐ
“การลงทุนยังมีมาต่อเนื่องโดยเฉพาะในพื้นที่อีอีซี คาดว่าเป็นผลจากโครงการ LTR Visa ส่วนหนึ่งและการย้ายฐานการลงทุนของโลกที่มุ่งกระจายความเสี่ยง สะท้อนจากยอดขายปีงบประมาณ 2565 ที่มียอดขาย/เช่าพื้นที่นิคมฯ 2,016.24 ไร่ เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 65.1% ชี้ว่ามีการฟื้นตัวมากขึ้น” นายวีริศกล่าว
สำหรับการดำเนินงานปี 2565 ที่ผ่านมา กนอ.ได้พัฒนาโครงการตามนโยบายรัฐทั้งโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 (ช่วงที่ 1) ล่าสุดความคืบหน้าการก่อสร้างอยู่ที่ 30.33% ส่วนช่วงที่ 2 ท่าเทียบเรือสินค้าเหลว (แปลง A) และคลังสินค้าหรือธุรกิจเกี่ยวเนื่อง (แปลง C) มีการทำ Market Sounding เพื่อนำผลที่ได้มาปรับปรุงเอกสารก่อนประกาศเชิญชวน โดยล่าสุดได้มีการประกาศเชิญชวนครั้งที่ 2 ไปแล้วเมื่อวันที่ 8 พ.ย. และเอกชนจะยื่นข้อเสนอมาในช่วงเดือน มิ.ย. 2566
นิคมอุตสาหกรรมสมาร์ทปาร์ก 1,384 ไร่ ก่อสร้างอยู่ที่ 38.65% คาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการได้ภายในปี 2567 นิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ มีผู้ยื่นเสนอพื้นที่จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ 2 แห่ง โดยแห่งที่ 1 บริษัท ศิวาชัย จำกัด พื้นที่ 4,131 ไร่ ล่าสุดโครงการฯ อยู่ระหว่างการปรับผังการใช้ประโยชน์ที่ดิน และแห่งที่ 2 บริษัท กรีน ยูทิลิตี้ โฮลดิ้ง จำกัด ยื่นความประสงค์ขอจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นต้น